ความลับของ Pickup กีต้าร์

Posted by Sutana Pornsermluck 07/07/2013 1 Comment(s) บทความเกี่ยวกับ Pickup,

เสียงของเบสหรือกีต้าร์ไฟฟ้า ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ Pickup มีการถกเถียงกันมากมายระหว่างนักดนตรีเรื่องข้อดีและข้อเสียของ Pickup รุ่นต่างๆ และ สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ หัวข้อนี้อาจจะมีความซับซ้อน ในทางไฟฟ้านั้น แต่จริงๆแล้ว Pick up เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย   ดังนั้นในบทความนี้ จะเป็นการผสมผสานทางด้านไฟฟ้าและเสียงเข้าด้วยกัน

ผมเสียใจที่จะต้องพูดว่า บริษัทผู้ผลิต Pickup ส่วนใหญ่ให้ข้อมูลที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเขา เพื่อที่จะทำเงินและ เพื่อข่มคู่แข่ง ดังนั้นความทำความเข้าใจบนความจริงเป็นเรื่องสำครับ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท Pickup ต่างๆ

Pickup มีหลักๆอยู่ 2 ประเภทคือ Magnetic Pickup กับ Piezoelectric pickups ซึ่งแบบหลังสามารถใช้ได้กับสายกีต้าร์ทุกประเภท(สายเหล็ก,ไนล่อน หรือ ไส้แกะ(ไส้แกะใช้กับ Ukulele:ผู้แปล)) Magnetic pickup ใช้ได้เฉพาะกับสายเหล็กเท่านั้น  ซึ่ง Pickup แบบนี้ จะประกอบด้วยแม่เหล็กและขดลวด      Single coil pickup จะถูกรบกวนได้ง่ายจากสนามแม่เหล็ก ซึ่งสร้างโดยหม้อแปลง หลอดนีออน และแหล่งอื่นๆ ซึ่งจะสร้างเสียง Hum ให้เกิดขึ้นมาได้ Pickup Coil คู่ หรือ Humbucking จะใช้ขดลวด 2 ขด เพื่อลดการรบกวน เนื่องจากการต่อขดลวดทั้งสองจะต่อแบบ เฟสกลับ ซึ่งเสียงฮัมจะหักล้างกัน

แม่เหล็กใน Pickup ก็มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละ Pickup บางประเภทเป็นแท่งกลมหรือแท่งสี่เหลี่ยมใส่ในขดลวด ในขณะที่บางประเภทอยู่ใต้ขดลวด และมีแท่งเหล็กสอดอยู่ตรงกลางขดลวด ในหลายๆแบบ แท่งเหล็กนี้เป็นสกรู ซึ่งสามารถปรับความสูงโดยการหมุนสกรูเข้าและออก บางประเภทมีฝาครอบเหล็กครอบตัวขดลวด บางแบบมีฝาครอบพลาสติก ซึ่งไม่สามารถกันสนามแม่เหล็กได้ และบางประเภทมีเพียงเทปพันตัวขดลวดเท่านั้น

เส้นแรงแม่เหล็กจะไหลผ่านขดลวด และผ่านสายกีต้าร์ในจุดหนึ่งของสายเป็นช่วงความยาวเล็กน้อย เมื่อสายกีต้าร์อยู่นิ่ง เส้นแรงแม่เหล็กจะคงที่ การดีดสายกีต้าร์จะทำให้สนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเหนี่ยวนำให้เกิดแรงดันในขดลวด การสั่นของสายจะเหนี่ยวนำให้เกิดไฟกระแสสลับและความถี่ ตามการสั่นของสาย แรงดันจะเป็นสัดส่วนของความเร็วในของการสั่นของสาย ไม่ใช่ Amplitude นอกจากนี้ แรงดันยังขึ้นอยู่กับความหนาของสาย และความแรงของสนามแม่เหล็กและ ระยะห่างของสายและแม่เหล็ก

มี Pickup จำนวนมากในตลาดปัจจุบัน มันเป็นการยากที่จะกล่าวถึงทั้งหมด นอกจากนี้ยังมี Pickup ที่ติดมากับเครื่องดนตรี หรือ  Pickup ที่ขายแยก   หลายๆแบรนด์สร้างโดยบริษัทที่ไม่ได้สร้างกีต้าร์  Pickup ทุกตัวมีเสียงเป็นของตนเอง บางตัวมีเสียงแหลมบาดเหมือนเสียงโลหะเสียดสี บางตัวมีเสียงทุ้มอุ่น  จริงๆแล้ว Pickup ไม่ได้มีเสียง มันเป็นแค่การส่งต่อ Character ของเสียง มันส่งต่อเสียงซึ่งมาจากการสั่นของสายที่อยู่ใกล้มัน หากคุณลองเอา Gibson Pickup ไปติดบน Les Paul กับ Super 400 CES คุณจะได้ยินเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และสุดยอด Pick up จะไร้ความหมายหาก อยู่บนกีต้าร์ที่ไม่ดีและมีสายกีต้าร์ที่ไม่ดี ซึ่งก็เป็นไปตามกฏง่ายๆ  ใส่ขยะเข้าไป ก็จะได้ขยะออกมา

การเปลี่ยน Pickup จะสามารถทำให้มือกีต้าร์สามารถเปลี่ยนเสียงกีต้าร์โดยไม่ต้องซื้อกีต้าร์ใหม่ (ภายใต้ข้อจำกัดของ Body และสายกีต้าร์) Pickup แต่ละตัวให้แรงดัน Outputที่ต่างกัน High Output Pick upสามารถทำให้แอมป์เกิดเสียงแตกเพื่อที่จะทำเสียง Overdrive ได้โดยง่าย ขณะที่ Low Output มีลักษณะที่จะให้เสียงสะอาด แรงดัน Outout ของ Pickup ทั่วไปอยู่ระหว่าง 100mV- 1 V Rms

มันไม่เหมือนกับตัวรับเสียงประเภทอื่น( ไม่โครโฟน,ลำโพง,หัวเข็มแผ่นเสียง) Pick up กีต้าร์ไม่มีชื้นส่วนที่เคลื่อนไหว มีเพียงเส้นแรงแม่เหล็กเท่านั้นที่เปลี่ยน ดังนั้นการวิเคราะห์ Pick จึงง่ายกว่าตัวรับเสียงประเภทอื่น แม้ว่าการตอบสนองความถึ่ของ Pickup จะมีลักษณะไม่เป็นเชิงเส้น(ซึ่งเกิดจากเสียงที่ต่างกัน) มันจะค่อนข้างจะมีลักษณะของ Peak และ Notch ในการตอบสนองความถี่น้อย เมื่อเทียงกับลำโพง ที่จริงแล้วการตอบสนองความถี่ค่อนข้างราบเรียบและสามารถอธิบายได้ง่ายด้วยสมการทางคณิตศาสตร์

 

Pickup ในมุมมองแบบวงจรไฟฟ้า

 

จากมุมมองทางด้าน Electronic Pick up แม่เหล็กสามารถเขียนเป็นวงจรไฟฟ้าสมมูลย์ ได้ดังภาพด้านล่าง

 

 

 

 

 

ตัวขดลวดสามารถอธิบายได้วด้วยวงจรไฟฟ้าง่ายๆ ด้วย ขดลวดเหนี่ยวนำ L ต่ออนุกรมกับ ตัวต้านทาน R และทั้งสองขนานกับ ค่าเก็บประจุระหว่างเส้นลวดในขดลวด C วงจรสมมูลย์นี้ สามารถใช้ในการประมาณค่าเบื้องต้นได้ จริงๆแล้วมันดูง่ายเกินไปเมื่อเทียบกับความเป็นจริง แต่มันมีประโยชน์มากในตอนเริ่มต้น ส่วนในรายละเอียดจะอธิบายในภายหลัง สำหรับ Humbucker วงจรนี้ 2 วงจรต้องนำมาต่ออนุกรมกัน เนื่องจากขดลวดทั้งคู่(ด้วยการผลิตที่แม่นยำ) จะมีลักษณะเหมือนกัน คุณสามารถใช้วงจรสมมูลย์ง่ายๆนี้ในการวิเคราะห์ คุณต้องทำการเพิ่มค่าของ Inductance และ Resistance เป็น 2 เท่า และลดค่าการเก็บประจุลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับขดลวดเดี่ยว

 

คนจำนวนมากจะใช้แต่ค่า Resistance และคิดว่ามันสามารถบอกบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับ Pickup แต่จริงๆแล้วมันไม่ถูกต้องเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญที่สุดจะเป็นเรื่องของค่าความเหนี่ยวนำ ซึ่งวัดเป็นหน่วย Henry ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนรอบของลวด ชนิดของแม่เหล็กที่ใช้ ความหนาแน่นของการพัน ขนาดของขดลวด ค่าความต้านทางและค่าการเก็บประจุ ไม่มีผลมากนักในการคำนวณค่าเบื้องต้น

 

เมื่อสายกีต้าร์สั่น จะเหนี่ยวนำให้เกิดไฟ AC ในขดลวด ดังนั้น Pickup จะมีลักษณะเหมือน แหล่งจ่าย AC ต่อกับอุปการณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ตามภาพด้านล่าง

 

 

 

โหลดภายนอกจะประกอบด้วยความต้านทาน ( Volume และ Tone บนกีต้าร์ และค่าความต้านทานที่ต่ออยู่กับกราวน์ด้าน Input ของแอมป์ ) และค่าการเก็บประจุ(มาจากค่าการเก็บประจุระหว่างสาย Hot และสาย Ground ของสายแจ๊ค) ค่าการเก็บประจุของสายแจ๊คมีนัยสำคัญ ไม่สามารถละทิ้งได้  การจัดเรียงของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบนี้เราเรียกว่า Second-Order low-pass filter

 

 

 

 

 

 

วงจรแบบนี้มีลักษณคล้ายกับวงจรกรองความถี่แบบอื่นๆ   ความถี่ Cut-off fg เป็นจุดที่การตอบสนองลดลง 3db (กำลังลดลงครึ่งหนึ่ง) ความถี่เหนือ fg การตอบสนองจะลดลง 12 db/octave และความถี่ที่ต่ำกว่า fg มากๆจะตอบสนองลดลงเป็น 0  และมันจะไม่มีจุด rolloff ของความถี่ต่ำ อย่างไรก็ตามที่ความถี่ต่ำกว่า fg เล็กน้อยจะมีการ resonance ระหว่า ค่าความเหนี่ยวนำของ Pickup และค่าการเก็บประจุของสายแจ๊ค ความถี่นี้เรียกว่า fmax แสดงถึงความสูงของคลื่น peak  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต่อกันในลักษณนี้จะทำงานคล้ายกันวงจรขยายแรงดัน(แต่ไม่ขยายกำลัง เนื่องจากกระแสจะต่ำ) รูปด้านล่างแสดงให้เห็นถึงกราฟการตอบสนองความถี่

 

 

 

 

 

ถ้าคุณทราบความถี่ Rasonance และความสูงของ Peak คุณจะรู้จัก Pickup ตัวนั้น 90% ค่า 2 ค่านี้คือ ความลับของ เสียง Pickup ( ค่าของผลกระทบอื่นๆไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแบบจำลองนี้ แต่ค่าอื่นๆไม่ได้มีความสำคัญมาก )

 

จากทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ว่า Overtone ที่อยู่ใกล้ๆกับความถี่ Resonance จะถูกขยาย Overtones ที่อยู่เหนือ Resonance จะลดลงย่างรวดเร็ว และการสั่นสะเทือนและ overtone ที่อยู่ตำกว่า resonance มากๆ จะไม่เปลี่ยนแปลง

 

Resonance มีผลต่อเสียงอย่างไร

ความถี่ Resonance ของ pickup กับสายแจ๊คกีต้าร์ทั่วไปอยู่ระหว่าง 2000-5000 Hz ซึ่งเป็นช่วงที่หูมนุษย์ มีความไวต่อเสียงมากที่สุด คำอธิบายสั้นๆของเสียงในแต่ละความถี่กลว่างได้ว่า ที่ 2,000 Hz เสียงจะ warm and mellow ที่ความถี่ 3,000 Hz เสียงจะใสแหลม ที่ 4,000Hz เสียงจะออกแนวเสียงโลหะ ลักษณะเหมือนโลหะเสียดสี ที่ 5,000 Hz เสียงจะบางแหลม  นอกจากนี้เสียงยังขึ้นอยู่กับ ความสูงของ Peak กล่าวคือ ลักษณะของ Peak ที่สูงจะให้เสียงที่มีพลัง ขณะที่ Low Peak เสียงจะออกทางด้านที่อ่อนกว่า โดนเฉพาะอย่างยิ่งกับ Solid body ที่ไม่มี Acoustic resonance   จุด peak ของ pickup ที่สูงที่สุดอยู่ในช่วง 1 และ 4 (0 – 12 db) ขึ้นอยู่กับชนิดของแม่เหล็กในขดลวด โหลดความต้านทางภายนอก  ฝาครอบที่เป็นเหล็ก(เมื่อไม่ใส่ฝาครอบ ค่า peak จะสูงขึ้น มือกีต้าร์จำนวนมากชอบสิ่งนี้)

 

 

ค่าความถี่ Resonance ขึ้นอยู่กับ ค่าสองค่า คือ ค่าความเหนี่ยวนำ L ( Pickup ส่วนใหญ่มีค่าระหว่าง 1 – 10 Henries) และค่าการเก็บประจุ C ซึ่งค่า C มาจากค่าการเก็บประจุในขดลวด (โดยทั่วไปมีค่าระหว่าง 80 – 200 pF) กับค่าการเก็บประจุในสายแจ๊ค (ประมาณ 300 – 1000 pF) และเนี่องจากสายแจ๊คแต่ละเส้นมีค่าการเก็บประจุไม่เท่ากัน ดังนั้นมันชัดเจนว่าหากเราใช้สายแจ๊คที่ต่างกัน กับ Pickup ที่ไม่มี Buffer จะทำให้ความถี่ resonant เปลี่ยนและกระทบกับเสียงทั้งหมด

 

มีหนังสือบางเล่มที่ซึ่งเขียนเกี่ยวกับ pickup กีต้าร์ ผู้แต่งมักจะให้ความสนใจกับค่าความต้านทานและวัสดุที่ทำแม่เหล็กมากเกินไป แต่จริงๆแล้ว ค่าความต้านทานเป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจน้อยที่สุด และข้อความที่ว่า “ Alnico 5 ให้เสียงแบบนี้ Alnico 2 ให้เสียงแบบนั้น” ทำให้เกิดความเข้าใจผิด  Pickup guru หลายๆคน ไม่เคยได้ยินคำว่า ค่าความเหนี่ยวนำ สิ่งที่คุณได้จากหนังสือเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาเหล่านั้นมองในแง่มุมเดียว ซึ่งมันไม่ Work

 

 

 

 

ในมุมมองของการมอง Pickup เป็นระบบ ตัว Pickup โวลลุ่มกีต้าร์ และค่าการเก็บประจุในสายแจ๊ค และค่า Impedance ของ Amp ทางด้าน Input ประกอบกันเป็นระบบ Interactive ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นตัวๆได้ ถ้าคุณวิเคราะห์คุณสมบัติของแต่ละอุปกรณ์แยกเป็นตัวๆ คุณจะไม่มีทางเข้าใจว่าระบบทั้งหมดมันทำงานได้อย่างไร  เสียงที่ส่งผ่าน Pick up ไม่ได้ถูกปรุงแต่งโดย Pickup อย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงสายแจ๊คกีต้าร์ด้วย

สายแจ๊คคนละเส้น ก็คนละเสียง มันอาจจะฟังดูแปลก แต่มันเป็นความจริง คุณสามารถเช็คด้วยตนเองได้ง่ายๆ    มีผู้ผลิต Pickup ไม่กี่รายที่รู้เรื่องนี้ แต่พวกเขาปกปิดมัน ขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่ปฏิเสธเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง

 

 

ผลกระทบของ eddy current 

 

ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า เราสร้างวงจรสมมูลย์อย่างง่ายเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะไม่สามารถละเลยผลกระทบของ eddy current ในชิ้นส่วนโลหะได้ กระแสจะเกิดเมื่อ สนามแม่เหล็กสลับที่ผ่านไปซึ่งเกิดขดลวด กระแสจะเกิดขึ้นในแท่งหมุดรับเสียงที่เป็นแม่เหล็ก(กระแสจะเกิดน้อย) หรือหมุดรับเสียงที่เป็นแท่งเหล็ก/สกรู(ซึ่งกระแสจะแรงกว่า) Eddy current ที่แรงอาจะเกิดขึ้นได้ในฝาครอบ pickup

ซึ่งกระแสนี้จะหายไปเมื่อ ฝาครอบถูกถอดออก ในบางครั้งความแรงของกระแสนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของโลหะ และส่วนผสมของโลหะ  factor ที่สำคัญที่สุดคือความต้านทาน ซึ่งแปรผันมาก   มีแกนเหล็กเป็นพันชนิดซึ่งคุณสมบัติของมันต่างกันมาก ส่งผลคุณสมบัติการส่งต่อของเสียง ฝาครอบโลหะถูกผลิตขึ้นจากทองเหลือง(ทองแดง/สังกะสี) หรือ German silver(ทองแดง/นิเกิล/สังกะสี) วัสดุที่มีความต้านทานสูงจะเกิด eddy current น้อย ส่วนฝาครอบพลาสติกจะไม่เกิดกระแสนี้  นอกจากนี้ eddy current ยังเกิดขึ้นได้บน base plate หรือ แม่เหล็กข้างใต้ขดลวดได้อีกด้วย

เคยมีความพยายามที่จะวัด eddy current โดยต่อความต้านทานขนานกับขดลวดแล้ววัดค่าแต่ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะลดความสูงของ resonance แต่มันก็ล้มเหลาอย่าง 2 วิธีที่กล่าวมาข้างต้น วิธีที่ดีกว่าคือ คือแบ่งขดลวดออกเป็น 2 ขด แต่ต่อขดลวดขดหนึ่งกับ ตัวต้านทาน R2 ซึ่งตรงนี้เป็นวงจรเสมือน ซึ่งไม่มีอยู่จริงและไม่สามารถวัดได้โดยตรง การแบ่งลักษณะนี้ก็ไม่ใช่จุดที่ขดลวด 2 ขดต่อกันใน Pickup แบบ Humbucker  ขดลวดนี้ยังเป็น single coil แท้ๆ ซึ่งมีลักษณะที่ซึมซับ eddy current ได้ดี ( เช่น Gibson P 90 หรือ Dimarzio Fat Strat ) ขดลวดทั้งสองไม่จำเป็นต้องมีขนาดเดียวกัน เราสามารถเขียนวงจรสมมูลย์ได้ตามภาพด้านล่าง

 

 

 

 

 

 

เคยมีความพยายามที่จะวัด eddy current โดยต่อความต้านทานขนานกับขดลวดแล้ววัดค่าแต่ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะลดความสูงของ resonance แต่มันก็ล้มเหลาอย่าง 2 วิธีที่กล่าวมาข้างต้น วิธีที่ดีกว่าคือ คือแบ่งขดลวดออกเป็น 2 ขด แต่ต่อขดลวดขดหนึ่งกับ ตัวต้านทาน R2 ซึ่งตรงนี้เป็นวงจรเสมือน ซึ่งไม่มีอยู่จริงและไม่สามารถวัดได้โดยตรง การแบ่งลักษณะนี้ก็ไม่ใช่จุดที่ขดลวด 2 ขดต่อกันใน Pickup แบบ Humbucker  ขดลวดนี้ยังเป็น single coil แท้ๆ ซึ่งมีลักษณะที่ซึมซับ eddy current ได้ดี ( เช่น Gibson P 90 หรือ Dimarzio Fat Strat ) ขดลวดทั้งสองไม่จำเป็นต้องมีขนาดเดียวกัน เราสามารถเขียนวงจรสมมูลย์ได้ตามภาพด้านล่าง

 

 

 

 

 

เมื่อเราเพิ่มแหล่งจ่ายไฟ AC เข้าไปในวงจรจะกลายเป็นรูปตามด้านล่าง 

 

 

 

 

 

วิธีการเปลี่ยน เสียง Pickup

โดยปกติมี 3 วิธีที่จะเปลี่ยนเสียงกีต้าร์ โดยที่เกี่ยวข้องกับ Pickup

 

1. เปลี่ยน Pickup วิธีนี้เป็นวิธีทั่วไป แต่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง

2. เปลี่ยนการต่อภายในของ Pickup วิธีนี้ทำได้กับ Pickup Humbucker แทบทั่วตัว โดยปกติขดลวด 2 ขดจะต่ออนุกรมกัน เมื่อเราปรับให้มันต่อกับแบบขนาน ค่าการเหนี่ยวนำจะเหลือ 1 ใน 4 ส่วนเมื่อเทียบกับค่าปกติ  ดังนั้นความถี่ resonsnce จะเปลี่ยนไป( ตัวแปรทั้งหมดเท่าเดิมรวมถึงค่าการเก็บประจุในสายแจ๊ค) สูงขึ้นเป็น 2 เท่า การใช้ขดลวดเพียงขดเดียว จะทำให้ resonance สูงขึ้น ประมาณ 1.4 เท่า ซึ่งทั้ง 2 กรณีจะทำให้มีเสียงแหลมเพิ่มขึ้น Pickup Humbucker หลายๆตัวจะมีสายต่อ 4 เส้น ซึ่งในแต่ละขดลวดจะมี 2 เส้น ดังนั้นการต่อเชื่อมสามารถทำได้โดยไม่ต้องแกะ Pickup สำหรับ Single coil บางตัวมี Coil Tap เพิ่อให้ได้ผลเดียวกัน

 

3. การเปลี่ยน Load ภายนอก  วิธีนี้มีราคาไม่แพงแต่ได้ผลดีมาก ทำได้โดยการจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยกับอุปกรณ์ไม่กี่ตัว เสียงจะเปลี่ยนไปภายใต้ค่าที่กำหนดไว้  ปุ่มโทนแบบหมุนโดยทั่วไปจะปรับให้ resonance ให้ต่ำลงโดยต่อ capacitor ขนานกับ pickup( โดยทั่วไปตัวต้านทานปรับค่าได้จะสามารถควบคุมผลกระทบที่ตัวเก็บประจุที่มีต่อ pickup ได้ระดับหนึ่ง) ดังนั้น ทางหนึ่งในการเปลี่ยนเสียงคือการเปลี่ยน ปุ่มโทนทั่วไปเป็น สวิทซ์แบบหมุนที่ต่อกับ ตัวเก็บประจุหลายๆค่าต่อกับ pick up( ค่าที่แนะนำคือ 470pf  ถึง 10nf) ซึ่งจะให้ความต่างของเสียงมากกว่า tone control ปกติ ตามภาพด้านล่าง

 

 
สวิทซ์แบบหมุนมีขายโดยทั่วไป ภาพด้านล่างสร้างโดยผู้แต่งเอง ซึ่งตัวฐานติดกับ Epoxy resin
 

 

 

 

นอกจากนี้การติดตั้งวงจร buffer สามารถที่จะลดผลกระทบของ load ค่าการเก็บประจุในสายแจ๊ค ส่งผลให้เสียงใสขึ้น ความถี่ resonance สูงขึ้นและ peak ขึ้น

 

 

ตารางด้านล่างแสดงถึงค่าต่างๆของ pickup ที่รู้จักกันดี อย่างไรก็ตาม pickup ไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีความเที่ยงตรงสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ pickup เก่า( เช่น fender หรือ Gibson ในยุค 50) มีความแปรผันส่งผลให้เสียงในแต่ละตัวไม่เหมือนกัน ดังนั้นค่าในตารางจะเป็นค่าเฉลี่ยอยู่แปรผันในช่วง 100 Hz และ ค่า peak จะต่ำลงจนเรียบในช่วงความถี่ต่ำกว่า 1000 Hz ขณะที่ ความสูงของ resonance จะขึ้นอยู่กับโหลดภายนอก ( Volume,tone,impedance ของแอมป์) การลดโหลด( เช่นการต่อความต้านทานขนาดกับ pickup) จะลดความสูง peak ถ้าต้องการเพิ่ม peak ต้องทำให้ความต้านทานสูงขึ้น ในบางกรณีจะสามารถทำได้โดยเพิ่มวงจร FET หรือ high impedance preamp ในกีต้าร์

 

 

Resonant frequencies of some well-know pickups
for various parallel capacitors

(figures may show sample variations by ±10 % or more)

Pickup Type

Induct-
ance
(Henry)

Winding
Capacit-
ance
(pF)

Additional capacitance and
resonant frequency
(kHz)

1 Comment(s)

ไ:
31/10/2020, 08:06:20 PM, sss
Reply

sss

เขียน Comment